ไม่บ่อยนักที่คุณจะมีโอกาสเดินมาพบกับหนังรักจากฮ่องกง และยิ่งเป็นหนังรักชั้นดีในระดับ เถียนมีมี่ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้โอกาสนั้นน้อยลงจนน่าตกใจ จะเป็นด้วยว่าคนฮ่องกงไม่ชอบบริโภคหนังรักโรแมนติกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรืออาจเป็นเพราะผกก.ฮ่องกงส่วนใหญ่ทำหนังรักไม่เป็นซึ่งต่างจากประเทศเกาหลีที่มีหนังรักออกมาอยู่เรื่อยๆ แทบไม่ได้ขาด อย่างไรก็ดี นานๆ ครั้ง หนังรักจากฮ่องกงจะถูกนำเสนอออกมาอย่างมีคุณภาพ
SOC เป็นเรื่องของ ฮอยเย็ก หญิงสาวคนหนึ่งที่ตาบอดตั้งแต่ยังเด็ก เธอมีความสุขอยู่ในโลกแห่งความมืดของเธอเอง แล้ววันหนึ่งเมื่อเธอได้พบกับ ยุกหมิง (เหลียงเฉาเหว่ย) เจ้าของกิจการหาคู่ที่ดูทีท่าว่าจะไปไม่รอด จนวันหนึ่งเมื่อ ยุกหมิง เกิดอาการตาบอดเฉียบพลัน ทำให้ ฮอยเย็ก เข้ามาดูแลเขาจนเกิดเป็นความผูกพัน แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อ ยุกหมิง สามารถมองเห็นได้อีกครั้ง ความสัมพันของคนทั้งคู่กลับเปลี่ยนไป ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หนุ่มออฟฟิศชาวไต้หวันอกหักที่พรหมลิขิตนำพาให้เขาต้องไปหาความหมายแห่งรักกับสาวน้อยชาวจีนที่เซียงไฮ้ที่หัวใจเพิ่งแตกสลายจากความรักที่ผิดหวัง หากแต่ทั้งคู่กลับพบว่าเมื่อหัวใจอันร้าวราน 2 ดวงมาพบกัน เศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกร้าวนั้นกลับปะติดปะต่อกันได้อย่างงดงาม
ยุกหมิง ขณะที่ตามองเห็นได้ปกติ เขาเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในสิ่งที่มีค่าสำหรับตัวเขามากพอ เขาไม่สนใจแม้แต่กับอนาคตของตัวเองด้วยซ้ำ เขามีชีวิตอยู่ไปวันๆ กับความสุขผิวเผินที่ไม่ยั่งยืน เป็นความสุขที่ต้องพึ่งพาจากคนอื่นๆ แต่เมื่อเขาตาบอด ยุกหมิง กลับค้นพบความสุขแท้จริงที่เกิดมาจากความสงบในใจของเขาเอง อีกทั้งกำลังใจและความใส่ใจที่ ฮอยเย็ก มีให้กับเขาเปรียบเสมือนสีสันในชีวิตที่มาพร้อมๆ กับเสียงเรียกจากใจของทั้งคู่ แต่เมื่อ ยุกหมิง มองเห็นอีกครั้ง เขากลับไม่กล้าที่จะเผชิญกับสภาพสายตาดีที่เขาเคยอยู่กับมันมา อาจเป็นเพราะเกรงว่าความสุขจอมปลอมอาจจะกลับมาหาเขาอีก ความสุขที่อาจไม่มี ฮอยเย็ก รวมอยู่ในนั้นด้วย
คงจะพูดได้ไม่เต็มปากนักว่า SOC เป็นหนังรักที่ดีเทียบเท่ากับ เถียนมีมี่ และอันที่จริงแล้ว SOC เป็นหนังรักที่มีพล๊อตที่อ่อนบางเสียเหลือเกิน อ่อนบางมากจนไม่น่าจะเป็นหนังรักที่น่าพูดถึงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งการเล่าเรื่องของคู่รัก 2 คู่ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันเลยแม้แต่น้อยทำให้ตัวหนังอาจเสียศูนย์ไปได้ง่ายๆ แต่หากคุณมองโลกในแง่ดีแล้วจะพบว่าการเล่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติในหนังอาร์ตชั้นดีเสมอๆ
ตัวหนัง SOC อุดมไปด้วยบทสนทนาที่น่ารักพร้อมกับคำพูดที่ไม่หวานเลี่ยนแต่จะทำให้ผู้ชมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถึงช่วงจิ๊ดบทสนทนาก็ช่วยอย่างมากในการ "เอาตาย" กับระดับความซึ้งของผู้ชม บทสนทนาประเภท "นับแต่นี้ ของอะไรที่มีสติ๊กเกอร์รูปดาวติดไว้ก็เป็นของผมใช่มั้ย?" ยุกหมิง พูดกับ ฮอยเย็ก ในวันที่เขาตาบอด แล้ว ยุกหมิง ก็เอาสติ๊กเกอร์รูปดาวติดไว้ที่มือของเธอ แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
และผมพบว่า SOC เป็นหนังรักที่ตัวหนังแทบจะไม่มีจุดไคลแมกซ์เอาเลย ตลอดทั้งเรื่องเป็นการเล่าเรื่องราวไปเรื่อยๆ ตัดสลับไปมาระหว่างคู่รัก 2 คู่ มิหนำซ้ำ ตัวบทยังเล่าเรื่องราวของทั้ง 2 คู่โดยที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกันเลย แต่หากจะหามุมสะท้อนที่ทั้ง 2 คู่มีให้กันก็น่าจะเป็นคู่ของ ยุกหมิง และ ฮอยเย็ก เป็นเสมือนตัวแทนของความรักในแง่ที่จับต้องได้มากกว่า เป็นความรักที่ก่อเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นไปได้ในชีวิตของคนทั่วๆ ไป ในขณะที่อีกคู่หนึ่ง ซึ่งแสดงโดย ชาง เชน จาก Crouching Tiger Hidden Dragon และดาราสาว ดอง เจีย นั้นนำเสนอความรักในแง่ของสัญลักษณ์และพฤติกรรมของทั้งคู่มีนัยยะแฝงไว้ตลอดเวลา สรุปง่ายๆ คือคู่ที่ 2 นั้นเป็นเหมือนคู่รักในหนังของ หว่องกาไว ยังไงยังงั้นเลย แต่หากมองให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่าสิ่งที่ทั้ง 2 คู่นี้มีเหมือนกันคือการนำเสนอวิธีเยียวยาบาดแผลจากโรคหัวใจ(สลาย)จากอีกฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่เป็นวิธีที่ต่างกันในมุมมองที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
แม้ว่าตลอดการชม SOC ตัวบทไม่ได้เอาใจผู้ชมคอหนังรักด้วยการหยอดอะไรหวานๆ เข้ามาเท่าไหร่นัก และนี่คือจุดที่ทำให้ตัวหนังค่อนข้างโดดเด่นนั่นคือเมื่อใดที่หนังมีฉากหวานๆ เข้ามา มันจะจิ๊ดลึกเข้าไปถึงหัวใจผู้ชมแทบจะทันที และผมพบความแปลกอีกประการหนึ่งของตัวหนัง ซึ่งหลายๆ คนอาจเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้วจากการชมภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง Art museum by the zoo ที่ตัวหนังทั้งเรื่องช่างเอื่อยเฉื่อยนวยนาดเสียเหลือเกิน จะมีฉากหวานๆ ก็ดูไม่เต็มที่ พอจะถึงฉากเศร้าก็ดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พอตัวหนังใกล้จะจบ คุณจะพบว่าน้ำตากลับไหลออกมาเองโดยไม่ตั้งใจ และ SOC ก็พาประสบการณ์นี้กลับมาให้ผมอีกครั้ง
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว คงต้องบอกว่า ผกก. Joe Ma คงไม่ต้องการประกาศให้ SOC เป็นหนังรักชนิดซาบซึ้งหวานเยิ้มจนต้องเอาแก้วใส่น้ำมาหล่อตามเก้าอี้เพื่อกันมดขึ้นขนาดนั้น เพราะฉากกุ๊กกิ๊กใน SOC แทบทุกฉากล้วนนำเสนอความรักในมุมมองที่น่ารักน่าชังแต่ไม่หน่อมแน้ม แถมซ้ำยังมีการโปรยเสน่ห์ด้วยการใส่ความเป็นแฟนตาซีเข้ามาได้อย่างค่อนข้างเข้าท่าอีกด้วย ซึ่งฉากแฟนตาซีหลายๆ ฉากถูกถ่ายทอดออกมาด้วยภาพที่งดงามตระการตาไม่ต่างอะไรจากภาพวาดในหนังสือการ์ตูนสั้น Sound of Color ของ จิมมี่ ที่ถูกนำเนื้อเรื่องสั้นๆ มาขยายเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวอย่าง SOC นี่เลย
งานด้านเทคนิคของหนังอยู่ในระดับมาตรฐานไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก (ไม่นับฉาก CG ที่แม้จะไม่เนียนมากแต่ทำออกมาได้สวยสมจินตนาการบรรเจิดและส่งผลทางอารมณ์อย่างได้ผลจริงๆ) สิ่งที่น่าพูดถึงอีกประการคือการตัดฉากแบบมืดไปทั้งฉากหลายๆ ครั้งตลอดเรื่องเป็นการช่วยสร้างอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างดีในการรับรู้ถึงความรู้สึกในการมองไม่เห็น แต่จุดที่เด่นมากจริงๆ คืองานดนตรีและเพลงประกอบที่กระโดดออกมาแสดงความโดดเด่นอย่างมาก ดนตรีประกอบแทบทุกแทรคเพราะมากจนน่าซื้อ CD เก็บ อีกทั้งเพลงร้องที่ร้องคู่โดย เหลียงเฉาเหว่ยและ มีเรียม ก็ไพเราะมากมายเหลือเกินซึ่งทำให้ตัวหนังทวีความหวานขึ้นมาได้อีกมาก
บท ยุกหมิง ของ เหลียงเฉาเหว่ย คงจะไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุดของเขา และในบางฉากเขากลับแสดงได้ต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเองด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ดี การได้เห็น เหลียงเฉาเหว่ย ในบทน่ารักๆ แบบนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่แฟนๆ รอคอยอยู่แล้วหลังจากที่พักหลังเขามักจะรับบทหนักๆ เน้นความสามารถทางการแสดงระดับสูงอยู่เรื่อยๆ และในขณะที่การแสดงของ เหลียงเฉาเหว่ย ดูจะพึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่การแสดงของ มิเรียม หรือ หยังเชี่ยนหัว นักร้องชื่อดังคนหนึ่งของฮ่องกงต่างหากที่ทำให้ตัวหนังยกระดับขึ้นมาเป็นหนังรักชั้นดีได้ ทั้งความน่ารักส่วนตัวบวกกับการแสดงที่แสนจะเป็นธรรมชาติและที่สำคัญเธอทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่าเธอตาบอดจริงๆ ความสามารถเฉพาะตัวเหล่านี้ของเธอนี่เองที่เป็นตัวประคองหนังทั้งเรื่องให้คงดีกรีของความน่ารักน่าชังจนทำให้ผู้ชมติดตามหนังไปได้จนจบด้วยรอยยิ้มละไม
ความรักอาจทำให้คนตาบอด แต่ในบางโอกาส เมื่อพรหมลิขิตก้าวเข้ามาในเส้นทางชีวิตเรา อาการตาบอดอาจทำให้เราพบกับความรักที่แท้จริงก็เป็นได้ และเมื่อเราได้ค้นพบความรักที่แท้จริงแล้ว อาการบอดของดวงตาคงไม่สำคัญไปกว่าตาดีๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจของเราเอง
|