ชื่อ”น้ำพุ”เป็นชื่อที่เรียกกันเล่นๆในครอบครัวและเลยเรียกติดปากมาจนกระทั่งน้ำพุโตเป็นหนุ่ม น้ำพุจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนศรีวิกรม์ และจากนั้นได้ไปเรียนที่เชียงใหม่ปีหนึ่งที่ไปเรียน เพราะน้ำพุตามใจแม่ โดยเมื่อไปเรียนแล้ว น้ำพุจึงรู้ตัวว่าตนชอบศิลปะมากกว่าวิชาที่เรียนอยู่ จึงได้ขอแม่มาเรียนก่อนการเปิดเรียนในปีนั้น ระหว่างปีสุดท้ายของการเรียน น้ำพุเริ่มคบเพื่อนหน้าตาแปลกๆและพาเข้ามาในบ้าน ให้แม่ร้อนใจเสมอ และน้ำพุได้ริลองทำความรู้จักกับสิ่งเสพติดต่างๆ และเริ่มใช้ยาที่แรงขึ้นจนกระทั่งถึงเฮโรอีน เมื่อน้ำพุมาสารภาพว่าติดแล้วนั้น น้ำพุก็กำลังเตรียมตัวจะไปอดที่ถ้ำเขากระบอก มาขอเงินแม่สามร้อยบาท ครั้งแรกตั้งใจจะไปโดยไม่บอก แต่หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมาสารภาพ ซึ่งในระหว่างนั้นตัวแม่น้ำพุเองก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด จึงไม่อาจจะไปดูแลน้ำพุได้ เมื่อน้ำพุกลับมาน้ำพุดูสดใสขึ้นมาก ทำให้ครอบครัวมีความหวังว่าน้ำพุคงจะดีขึ้น โดยเมื่อน้ำพุกลับมาก็ตั้งใจเรียนดีขึ้น หลังจากเสียเวลาไปสองปี ปีแรกที่เชียงใหม่ และปีที่สองไม่ได้สอบที่โรงเรียนช่างศิลป์ เพราะต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคไวรัสลงตับ เวลาเรียนมีไม่พอสอบ
วันสุดท้ายที่แม่น้ำพุได้พบลูก น้ำพุไปหาแม่ที่โรงพิมพ์เพื่อขอเงินไปเอากางเกงนักเรียน เมื่อกลับถึงบ้าน น้ำพุได้เอารูปที่ตนวาดมาอวด โดยบอกว่าไม่เคยเขียนรูปได้ดีอย่างนี้มาก่อน ก่อนเข้านอน น้ำพุพูดกับแม่เป็นคำสุดท้าย ที่แม่น้ำพุได้ยินว่าจะให้ซื้อสีน้ำมันให้ เมื่อตบปากรับคำเสร็จก็เข้านอน ตอนเช้ามืดคนใช้ไปปลุก คนใช้เห็นก็เลยไปปลุกแม่น้ำพุให้มาดู ”คุณพุ” ก็ตกใจกันและเมื่อนำน้ำพุส่งโรงพยาบาล หมอสันนิษฐานว่าน้ำพุหัวใจวายตาย แต่ใครๆก็รู้อยู่ในใจว่าน้ำพุไปเพราะยาเสพติด น้ำพุอาจจะหวนกลับไปใช้ยา ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาชนิดใด และยานั้นคงจะรุนแรง จนสามารถทำให้หัวใจของน้ำพุหยุดเฉียบพลันจนไม่มีใครช่วยได้
�
|